กระบวนการปั้นแต่งอนาคตสังคมไทย Quo Vadis Thailand? : เมืองไทยจะไปทางไหน?

Scenario Planning : The Series EP:2 

โดย Christian Birkholz (ธันวาคม 2541)
( บทนำในหนังสือ “ปั้นแต่งอนาคตสังคมไทย”
จัดพิมพ์โดย สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม,2542
โดย Christian Birkholz อาจารย์ชาวเยอรมัน วิทยากรกระบวนการ 
Scenario for the Great Transformation of Thai Society
เมื่อ 10-13 ธันวาคม 2541 อ.ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี)

กระบวนการปั้นแต่งอนาคต (Scenario Technique) คืออะไร

กระบวนการปั้นแต่งอนาคต หรือ Scenario Technique เป็นเรื่องของการพัฒนาความคิดและจิตใจในกระบวนการสร้างอนาคต ท่ามกลางการปรับตัวและการเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งของสังคมโลกในปัจจุบัน

คำถามก็คือ เราจะเอาชนะการเปลี่ยนแปลงสังคมในโลกนี้ได้อย่างไร ?

Scenario Technique นั้นต่างจากนิยายวิทยาศาสตร์ (Science Fiction) เพราะนิยายวิทยาศาสตร์นั้นเต็มไปด้วย จินตนาการและความพิศวง (Fantasy) แต่การปั้นแต่งอนาคตเป็นการสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มของสิ่งที่จะสร้างผลสะเทือนในอนาคตข้างหน้าว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วจะทำอย่างไรกับมัน เช่น Scenario ที่ 1 เป็นการสมมติสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หากว่าวันหนึ่งเราเกิดตาบอดจากอุบัติเหตุ เราจะทำอย่างไรที่จะให้คนตาบอดอย่างตัวเราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือปัจจัยอะไรจะมาช่วยทำให้คนตาบอดหายได้

นี่คือเรื่องของการฝันอย่างแรงกล้า ที่มีความเป็นได้ว่าอาจเกิดขึ้นจริงและเตรียมรับมือกับมัน

จะเห็นได้ว่า Scenario Technique นั้น เริ่มมาจากสมมติฐาน ซึ่งแตกต่างไปจากนิยายวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน

การสร้าง Scenario จึงจำเป็นต้องค้นหาความเป็นไปได้ในกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ในการปั้นแต่งอนาคต หลังจากนั้นจึงสร้างทางเลือกในการจัดการกับปัญหานั้นๆ

สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ Scenario Technique คือเราจะต้องเป็นฝ่ายรุกหรือกำหนดอนาคตขึ้นตามที่เราต้องการจะให้เป็น แทนที่จะปล่อยให้อนาคตกระทำต่อเราฝ่ายเดียว

การเขียน Scenario นั้นไม่ต่างจากการเขียนบทภาพยนตร์ เช่น “ถ้าพรุ่งนี้เราไปเดินเล่นแล้วเกิดมีฝนตกหรือหิมะตกลงมา เราจะเตรียมตัวอย่างไร” โดยที่แผนการ (เดินเล่น) นั้นยังคงดำเนินต่อไป หรือ “อะไรจะเกิดขึ้น หากสาวสวยคนหนึ่งพบกับหนุ่มหล่อมีเสน่ห์คนหนึ่ง จะด้วยชะตากรรมอะไรก็แล้วแต่ เมื่อพบกันทำให้เกิดความรักขึ้นมาทันที ถ้าหากความรักซึ่งกันและกัน นำไปสู่การลงเอยด้วยการแต่งงาน” มันก็เป็นแค่นิยายรักธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่สำหรับบทภาพยนตร์ที่มีสีสันก็จะเขียนว่า “หากทั้งสองพบรักกันได้แค่วันเดียว ชายหนุ่มจำต้องเดินทางไปอเมริกา หญิงสาวจะทำอย่างไร”

หรือจะทำให้เรื่องมันเร้าใจชวนติดตามขึ้นไปอีก Scenario ที่สร้างขึ้นมา ก็อาจเขียนเป็นบทที่พูดถึง “สมมติว่าหนุ่มสาวคู่นั้นมีการนัดทานข้าวเย็นกันในกรุงเทพฯ ชายหนุ่มเกิดมาสาย 2 ชั่วโมง หรืออาจจะมีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้น เช่น การจราจรติดขัดอย่างรุนแรง ในขณะที่หญิงสาว ต้องนั่งรอ”

อะไรจะเกิดขึ้น

“เมื่อผู้หญิงโกรธที่ถูกปล่อยให้รอ… แล้วเกิดมีหนุ่มหล่อเข้ามาคุยด้วย”

จะเห็นว่าเรื่องเริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาทันที อาจเกิดรักสามเส้าแล้วจบอย่างหักมุมก็ได้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นเราต้องหาตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ และตัวแปรเหล่านั้น ต้องสามารถพัฒนาให้เป็นโครงเรื่องได้

นี่คือจุดสำคัญในการ เขียน Scenario

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ในบทบาทการเป็นผู้กระทำของเรา หรือ ผู้เขียนบท Scenario นี้ จะต้องตระหนักว่าอนาคตที่สร้างขึ้นมา สามารถที่จะแฝงอารมณ์ ความรู้สึก เข้ามาเกี่ยวข้องได้ แต่จะเป็นในเชิงบวกหรือเชิงลบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

ถือได้ว่า Scenario Technique นั้นเป็นเทคนิคของการสร้างสรรค์ทางความคิดและแผนที่เปิดกว้าง ตั้งแต่แย่ที่สุดประมาณตกนรกหมกไหม้ จนกระทั่งไปถึงดีที่สุดราวกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และความเป็นจริงก็อยู่ที่ใดสักแห่งในรัศมีของความดีเลวนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องคิดช่วงโอกาสของความเป็นไปได้ให้กว้างที่สุดเข้าไว้ เพื่อที่เราจะได้มีทางเลือกมากมายและมีขอบเขตที่กว้างมาก

ก่อนลงมือปั้นแต่งอนาคต

ตามธรรมดามนุษย์มีแนวโน้มที่จะลดความซับซ้อน ด้วยการคิดให้ง่ายๆ เข้าไว้ก่อน เช่น เรื่องอากาศก็คิดกันแค่ร้อนกับหนาว แท้จริงแล้วมีอากาศแปรปรวนอีกมากมาย เช่น เกิดลมสลาตัน ภัยแล้งรุนแรง หรืออาจเย็นจัดจนลูกเห็บตก จนพืชผลการเกษตรเสียหาย ฯลฯ เราจึงต้องมีวิธีการที่หลากหลายในการจัดการกับความคิด

ดังนั้น ในการสร้าง Scenario จึงต้องค้นหาตัวแปรที่มาเกี่ยวข้องจำนวนมาก คิดให้ตื่นเต้น ซับซ้อน เป็นจริง และต้องคิดครอบคลุมไปถึงสิ่งที่คาดไม่ถึงด้วย จากนั้น จึงมาแยกแยะว่า Scenario ภาพใดที่มีความเป็นจริงมากที่สุด และพร้อมที่จะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมัน พูดให้ง่ายเข้าก็คือ เราต้องหาทางเลือกที่เป็นไปได้ ให้ได้ปริมาณมากเท่าที่จะมากได้แล้วมุ่งไปที่ทางเลือกที่มีโอกาสเป็นจริงมากที่สุด จากนั้นจึงหาตัวแปรหรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทางเลือกนั้น ทั้งในด้านบวกและลบ แล้วเข้าไปจัดการกับมัน เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาจริงๆ

อย่างไรก็ดี แม้ว่าการทำ Scenario Technique จะเป็นกระบวนการคิดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรต่าง ๆ ที่หลากหลาย แต่การทำ Scenario Technique มิได้เป็นเรื่องนามธรรม หากกลับเป็นเรื่องจริงด้วยสภาพที่มีเงื่อนไขปรากฏอยู่แล้ว และสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในสังคมไทย

ดังนั้นการจะทำอะไรแต่ละอย่าง จึงมีอารมณ์ ความรู้สึกเข้าไปสัมผัสในการค้นหาด้วย การคิดทำงานเพื่อจะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย จึงไม่เป็นแค่การคิดอย่างมีเหตุผล หรือเอาจริงเอาจังเท่านั้น แต่จะรวมถึงเรื่องอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาอยู่ในกระบวนการปั้นแต่งสังคมในอนาคตให้เกิดขึ้นจริงด้วย มิใช่เป็นเรื่องที่จะไปกระทบมันสมองซีกซ้ายอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของจินตนาการของสมองซีกขวาด้วย ซึ่งทำให้เรื่องที่จะทำการปั้นแต่งอนาคตอาจเป็นเรื่องที่สนุกสนานก็ได้

จากที่กล่าวแล้วว่า Scenario Technique นั้นมิใช่นิยายวิทยาศาสตร์และ Scenario ก็ไม่ใช่เรื่องที่บอกว่าจะเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นเรื่องเหตุการณ์จำลองที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เหมือนกับการพยากรณ์ที่บอกว่าฝนจะตก แต่ Scenario บอกว่าฝนอาจจะตกนะ และถ้าฝนตกหนัก ๆ เราควรเตรียมตัว เตรียมความคิดในการรับมือกับเหตุการณ์นั้นด้วย ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงฝันลอยๆ แต่มันมีตรรกะต่อเชื่อมกันว่า เมื่อเป็นอย่างนี้จะตามด้วยอย่างนั้น เช่น ถ้าสังคมของเราเป็นประชาธิปไตยแล้ว นักการเมืองคอร์รัปชั่นมากๆ ปล่อยให้ชาติจมดิ่งลงสู่ความหายนะ ก็อาจเป็นเงื่อนไขให้เกิดเผด็จการกลับมาใหม่ก็ได้ เป็นต้น

Scenario คืออนาคตที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการประมวลตัวแปรต่างๆ แล้วนำมาเชื่อมโยงกัน ผูกเป็นเรื่องราวขึ้นมา เช่น โครงสร้างประชากร สังคม มีคนอายุน้อย/ คนในเมือง/ ผู้หญิงกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อมีข้อมูลอย่างนี้แล้ว เราจะพัฒนาไปทางไหนได้บ้าง นอกเหนือจากเรื่องทรัพยากร อาจจะสังเกตทางด้านวิทยาการที่มีการค้นพบใหม่ ๆ หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ได้

สิ่งที่สำคัญคือ ต้องสนใจว่าความต้องการของสังคมมีอะไรบ้าง และมาจากไหน เช่น การพัฒนาอาวุธที่สามารถขยายพลังของตัวเองได้ เครื่องจักร รถไฟ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีชีวภาพ แท้จริงแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็คือความต้องการลึกๆ ของมนุษย์นั่นเอง อาทิ การ พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศหรือคอมพิวเตอร์ ก็เพื่อที่จะสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว หรือ การพัฒนารถไฟ เครื่องบิน ก็เพื่อให้สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายกับชีวิต หรือการปล่อยยานอวกาศ เพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ในการขยายพื้นที่ชีวิตของมนุษย์นอกเหนือไปจากโลกใบนี้ ที่ทรัพยากรเริ่มจำกัด หรือการพัฒนาเทคโนโลยีพันธุกรรมและชีวภาพ (Gene and Biology Technology อันมุ่งไปสู่การมีชีวิตที่ยืดยาวออกไป การแก้ไขความบกพร่องสำหรับอวัยวะต่างๆ เพื่อให้ร่างกายห่างไกลจากความเจ็บป่วยและชะลอความตายออกไปเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่เรามีความจำเป็นต้องรู้ความต้องการของมนุษย์เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม

หากใช้กรอบของทฤษฎีกระบวนระบบ (System Theory) มาวิเคราะห์ Scenario Technique จะเห็นได้ว่า ระบบของสังคมนั้นประกอบไปด้วยกระแสหลัก (Main Stream) ซึ่งหมายถึง แนวทางหลักในสังคมที่พัฒนาไปตามทางของมันและตรงชายขอบจะมีกระแสหรือเหตุการณ์อื่นๆ เกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งจุดอ่อนของกระแสหลักหรือสัญญาณเดือนภัย (Weak Signals) เหตุการณ์ทั้งหลายนี้จะเชื่อมโยงไปสู่การเกิดเหตุการณ์อื่นๆ ด้วย

ดังนั้น Scenario ซึ่งหมายถึง การเฝ้าสังเกตแนวโน้มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ว่าจะขยายตัวไปทางใด และถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว จะมีทางเลือกอะไรบ้างนั้น จะต้องสร้างเครื่องมือ คือ ระบบเตือนภัย (Warning system) ขึ้นมา เพื่อจับแนวโน้มหรือกระแสที่บ่งบอกบางอย่างให้ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงมักจะไม่เกิดจาก “กระแสหลัก” หากแต่เป็น “กระแสรอง” ที่ยังไม่มีพลัง และมาจากชายขอบทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราค้นพบสัญญานเตือนภัย โดยดูจากแนวโน้มของมัน เราก็จะรู้ทิศทางว่าจะดำเนินไปอย่างไร

การพิจารณาแนวโน้ม สามารถดูจากเรื่องอะไรก็ได้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจสังคม การเมือง แฟชั่น ศิลปะ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ถ้าหากสังเกตให้ดี จะมีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเชื่อมโยงกับแนวโน้มเหล่านี้ เช่น Internet ที่แพร่หลายอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น และมันมีลักษณะเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงไปได้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Internet กับวัยรุ่น Internet กับการเมือง Internet กับการศึกษา ฯลฯ

สิ่งใดที่มีลักษณะเครือข่ายเช่นนี้ ฝ่ายนักพัฒนาจะบอกว่า ดี มีประโยชน์ ขยายฐานข้อมูลไปใช้ได้ แต่นักการเมืองอนุรักษ์นิยมอาจจะไม่ค่อยชอบใจนัก และจะคอยระแวดระวัง โดยมองว่ามันเป็นเรื่องของการคุกคาม และอาจมีผลต่อกฎหมายที่จะเกิดขึ้น ด้วยเหตุที่มันเชื่อมโยงอยู่กับทุกเรื่อง สิ่งที่เป็นปัญหาร่วมกันก็คือ มันเป็นการขับเคลื่อนที่เร็วมาก เร็วจนเราตามไม่ทัน

ดังนั้น เราจึงต้องจับสัญญาณเตือนภัยในแนวโน้มต่างๆ ให้ได้ ซึ่งสัญญาณเหล่านี้ มีตัวอย่างรูปธรรมจริงทำให้เกิดการรับรู้ มีการคิด มีการกระทำเกิดขึ้น เมื่อเราได้ข้อมูลของแนวโน้มต่างๆ นำมาประมวลแล้วผูกขึ้นมาเป็นเรื่องราว จากนั้นเราถึงจะสามารถออกแบบ Scenario ขึ้นมาได้

จุดสำคัญของการพิจารณาสัญญาณเตือนภัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรามีความรับรู้ที่พอเพียงหรือไม่ เช่น เรื่องเศรษฐกิจฟองสบู่กำลังจะแตก อาจ มีคนจับสัญญาณเหล่านี้ได้ แต่ยังขาดการคิดและมองไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนแม้ว่าก่อนหน้านั้นพอจะมีสัญญาณออกมาบ้าง ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เศรษฐกิจของเอเชียเติบโตเร็วเกินไป หากทำ Scenario Technique กันอย่างจริงจัง ก็น่าจะเกิดทางเลือกไว้รองรับปัญหาบ้างแล้ว

Scenario Technique นั้น มีความแตกต่างจากการเขียนแผนพัฒนาฯ 5 ปี เพราะแผนพัฒนาฯ 5 ปี เป็นการคิดแค่กรณีธรรมดา (Normal Case) และดำเนินไปตามกระแสหลัก เป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังเป็นกระบวนการที่ลดความซับซ้อน (Complexity) แต่ Scenario Technique มีทั้งกรณีที่ดีและเลวร้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น ระบบรถไฟในเยอรมัน ซึ่งเป็นขนส่งมวลชนที่สร้างขึ้นเพื่อหวังจะลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากการจราจร และมีความเร็วสูงมาก แต่ไม่เคยมีอุบัติเหตุที่ร้ายแรงเกิดขึ้น แต่มาวันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปีขึ้นมาจนได้ เป็นต้น

Scenario บอกว่า ถ้ามันเกิดแย่ขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าหากมันดีขึ้นมากกว่านี้ เราจะทำอย่างไร หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ใกล้ตัวเรา เคยคิดไหมว่า อยู่ดีๆ ประเทศไทยต้องเป็นหนี้เขาถึง 5 ล้านล้านบาท ซึ่งตอนนี้เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะไม่เคยทำ Scenario แบบแย่สุดๆ เลยสักที

การคิดอย่างหนึ่งจะได้ภาพออกมาชุดหนึ่ง เช่น ถ้าเราจับเรื่องการเมืองมาเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง อายุ กระบวนการเลือกตั้ง ระยะเวลาการเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญทั้งนั้น เยอรมันกำลังคิดหาตัวแปรทางการเมืองเพื่อพัฒนาระบบประชาธิปไตย ขณะนี้ 4 ปี เลือกตั้ง 1 ครั้ง ถ้าหากจะเปลี่ยนเป็น 6 ปี เลือกตั้ง 1 ครั้ง จะเป็นอย่างไร? จะทำให้สังคมและเศรษฐกิจของเยอรมันดีขึ้นไหม? มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?

จุดเริ่มต้นของความคิดก็คือ กว่ารัฐบาลจะทำอะไรได้ก็ล่วงเข้าปีที่ 3 ไปแล้ว กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็ต้องเลือกตั้งกันใหม่ ดังนั้นเมื่อปัจจัยคือ การเลือกตั้งกำหนดวาระ 6 ปีต่อ 1 ครั้ง จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับ สังคมเยอรมัน

Scenario ด้านดี คือ รัฐบาลจะมีเสถียรภาพมากขึ้น พรรคการเมืองที่ได้จัดตั้งรัฐบาลจะได้ทำงานเต็มที่อย่างที่ต้องการ ส่วนด้านที่แย่ คือหากได้รัฐบาลที่ไม่ดีขึ้นมา นั่นหมายถึงเราต้องรอการเลือกตั้งใหม่อีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ประชาชนพลเมืองเกิดความไม่พอใจ นำไปสู่การประท้วงรุนแรงถึงขั้นสังคมปั่นป่วนได้

จะเห็นว่ามีกรณีด้านดีและเลวที่สุดเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงว่า ความเป็นจริงจะต้องอยู่ตรงไหนสักแห่ง แต่ที่แน่ๆ คือ เราได้จับหัวใจสำคัญได้จากตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่การคิดแบบ Scenario

Scenario ที่ได้ ดี หรือไม่ดีอย่างไร: ข้อคิดบางประการในการตรวจสอบ

1) Scenario ที่ออกมา ต้องอธิบายให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ยอมรับได้ (ไม่ว่าจะเป็นแบบดีที่สุด หรือเลวที่สุด)

2) มีการเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือประเทศอื่นที่ทำ มีตรรกะที่เป็นไปได้

3) มีความสำคัญ มีน้ำหนักเพียงพอ ที่สื่อมวลชนเห็นแล้วสามารถนำไปเผยแพร่ได้

4) Scenario Technique เป็นเรื่องของการพิจารณาถึงสัญญาณเตือนภัยภายใต้เงื่อนไขที่เกิดขึ้น (มิใช่นิยายวิทยาศาสตร์)

5) มีช่องว่างให้กับตัวแปร (คู่กับพลวัต) ที่บังเอิญเกิดขึ้นได้ด้วย

6) Scenario Technique ที่ดี เป็นภาพที่ไม่ใช่ทุกคนต้องเห็นด้วย การคิดแบบขวางโลก แบบที่ทุกคนสงสัยว่าใช่หรือไม่ นั่นคือ Scenario ที่ดี บางเรื่องถ้าเราคิดได้ แม้ในเรื่องเลวที่สุด แล้วทำให้คนตกใจ หรือในเรื่องดีที่สุด คนจะคิดว่าเราฝันไป แต่นั่นคือ scenario ที่ดี

7) scenario ที่ดี เมื่อคนได้ฟังแล้วต้องกระทบใจ ฟังแล้วรู้สึกจริงๆ ว่า มันคุกคาม หรือมันยอดเยี่ยมจริงๆ

8) การสร้าง Scenario ที่ดี ต้องจินตนาการให้เป็นจริงเป็นจัง เช่นบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นเคยสร้าง Scenario ว่า ถ้าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามจะเป็นอย่างไร? สิ่งที่เป็นผลของตรรกะที่ติดตามมา (Consequence) จะเป็นอย่างไร เช่น การธนาคาร การคิดดอกเบี้ย การศึกษาในแบบของศาสนาอิสลาม จะเป็นอย่างไร ที่น่าสนใจคือ รถยนต์ที่ขายในประเทศอิสลามเป็นรถยนต์ของญี่ปุ่น เพราะคนคิดเรื่องการขาย ได้รับการฝึกมาให้คิดในแบบคนมุสลิม สมจริงจนนึกได้ว่าคนมุสลิมมีอุปนิสัยใจคออย่างไร ถ้าใช้รถจะใช้แบบไหน

9) ฝึกสมองให้พร้อม เตรียมไว้ หากเกิดสถานการณ์จริงสามารถนำไปใช้ได้เลย


อ่านต่อ EP : 3 (เกี่ยวกับกระบวนการ)