ข่ายการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (Civicnet)   การเชื่อมโยงของหน่ออ่อนประชาสังคม ในพัฒนาการปฏิรูปสังคมไทย

นับจากสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงพฤษภาทมิฬ 2535 ที่เป็นวิกฤตการณ์ทางด้านการเมืองและประชาธิปไตยที่เข้าสู่ทางตัน รวมไปถึงปัญหาด้านต่างๆ ที่ต้องหาทางไปต่อให้ได้ ทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สุขภาพ กฎหมายและความยุติธรรม ฯลฯ  ปัญหาที่ถาโถมในทุกด้านแสดงผลออกมาในช่วงระยะเวลาที่ต่างกันออกไปซึ่งมีทั้งด้านดีและไม่ดี กล่าวคือ ทางด้านเศรษฐกิจก็วิกฤติไปจนขั้นเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตก หรือที่เรียกว่า วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540  และในอีกด้านก็มีกระแสการปฏิรูปการเมืองและประชาธิปไตย ที่นำไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับแรกและฉบับเดียวของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2540  ส่งผลถึงการปฏิรูปด้านต่างๆ มากมาย ทั้งด้านการศึกษา ระบบสุขภาพ สังคม การเมือง สื่อ กระบวนการยุติธรรม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ อีกทั้งในแต่ละด้านก็มีพัฒนาการในการปฏิรูปของตัวเองเรื่อยมา 

แนวทางการพัฒนาในขณะนั้น เน้นให้ “คน” เป็นศูนย์กลางการพัฒนา และผลักดันในเรื่องของ “การมีส่วนร่วม” ของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามากำหนดอนาคตในแต่ละด้านของตนเอง ดังนั้น กระบวนการที่จะให้ความสำคัญกับคนทุกคนและสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก 

แนวคิดเรื่อง  “ประชาสังคม” จึงถูกหยิบยกมากล่าวถึงทั้งในเชิงวิชาการและในงานพัฒนา ที่มีการปฏิบัติการของกลุ่มคนพลเมืองที่ตื่นตัวและเข้าไปจัดการกับประเด็นสาธารณะต่างๆ ในสังคม มีการริเริ่มกันเอง โดยไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เกิดจากรัฐหรือทุน ด้วยความเข้าใจในแนวคิดแบบไม่ซับซ้อนว่าเป็นการ “ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมแก้ปัญหา” 

การเปิดพื้นที่ทางความคิดในเรื่องประชาสังคมนั้น มีพัฒนาการมาจากทั้งการทำงานของภาคองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ในกระบวนการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น  ภาคเอกชน สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา ภาคพลเมืองนักคิด นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มและองค์กรซึ่งมีภารกิจและบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป รวมถึงภาครัฐ-ราชการ ที่อยู่ในช่วงของการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งเป็นการร่างแผนฯ ที่มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการร่าง และมีแนวคิดเรื่อง การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนหรือประชาสังคมไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาประชารัฐ (แผนฯ 8 เป็นแผนที่ใช้ในปี 2540-2544 กระบวนการร่างแผนเกิดขึ้นช่วงปี 2539)

กระบวนการทำงานของ NGOs ในยุคนั้นได้มีการบ่มเพาะความตื่นรู้ให้กับประชาชน กลุ่ม องค์กรในพื้นที่ต่างๆ จนมีพัฒนาการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายของทั้ง NGOs และองค์กรชาวบ้าน เช่น เครือข่ายประมงพื้นบ้าน เครือข่ายออมทรัพย์ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 

โดยเฉพาะการดำเนินกิจกรรมเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และเครือข่ายกลุ่ม องค์กรประชาชน ที่ช่วยกันเชื่อมโยงข้อมูล การทำงาน ประสบการณ์ของภาคประชาชนในระดับพื้นที่ ทำความเข้าใจต่อแนวคิดประชาสังคม และการสร้างเสริมประชาสังคมไม่ว่าจะเป็นในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ผ่านการทำกิจกรรมและความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั้งที่เป็นความริเริ่มใหม่ๆ และที่เป็น พัฒนาการสืบเนื่อง ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เปิดพื้นที่ทางความคิด และดึงความสนใจ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคีประชาสังคมอื่นเข้ามาร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ

อีกทั้งการเกิดขึ้นของข่ายความร่วมมือเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาไทย (Thai Environment and Development Network:TEDNET) จากกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 2538 โดยทำหน้าที่เป็นองค์กรประสานงานการจัดเวทีสิ่งแวดล้อมประจำปี และการสร้างเสริมประชาสังคมผ่านกระบวนการจัดงานเวทีสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับจังหวัดและประเทศ โดยงานเวทีสิ่งแวดล้อมไทย’39 ภายใต้แนวคิด “ทำเมืองไทยให้น่าอยู่และยั่งยืน” นับเป็นปฐมบทที่ TEDNET เข้ามามีบทบาทผลักดันแนวคิดประชาสังคมและแนวทางการดำเนินงานประชาคมอย่างจริงจัง 

นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายที่เป็นภาคเอกชน ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ที่ให้ความสนใจต่อแนวคิดประชาสังคม และเห็นขบวนการเคลื่อนไหวของภาคพลเมือง เมื่อปี 2539 จึงเกิดโครงการวิจัยและพัฒนาประชาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างองค์ความรู้ควบคู่ไปกับขบวนการเคลื่อนไหว โดยนำเสนอกรณีศึกษาเบื้องต้นของขบวนการประชาสังคม ใน 6 จังหวัด คือ ขอนแก่น สงขลา นคร-สวรรค์-อุทัยธานี นครปฐม มหาสารคาม และพิษณุโลก  และประชาคมนำร่อง 3 จังหวัด น่าน เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช ซึ่งคำว่า “ประชาคมจังหวัด” ในขณะนั้นถูกนำมาใช้เรียกกลุ่มหรือองค์กรประชาสังคมที่แม้ว่าในบางพื้นที่จะไม่ได้มีชื่อเรียกเป็นประชาคมก็ตาม 

สิ่งที่มาควบคู่กับแนวคิดประชาสังคมก็คือกระบวนการในการสร้างการมีส่วนร่วมที่จะนำไปสู่การรวมตัวกันเป็นประชาสังคม ซึ่งอาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ (ผู้ประสานงานบางกอกฟอรั่ม) ได้กล่าวสรุปการทำงานประชาสังคมในการสร้างสรรค์เมืองไว้ว่า 

“ประชาสังคมต้องมีความหลากหลาย ต้องสังเคราะห์ความคิด และต้องมีกระบวนการระดมความคิด ที่สำคัญต้องให้ที่ทางกับเสียงส่วนน้อย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ประชาสังคมจึงเป็นกระบวนการให้สิทธิเสรีภาพ ให้ความรับผิดชอบแก่มนุษย์ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”

บทบาทการทำงานของบางกอกฟอรั่มในขณะนั้น เป็นการทำงานร่วมกับชุมชนเมืองในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะชุมชนพระอาทิตย์ที่มีการทำงานร่วมกันเกือบ 1 ปี สร้างกระบวนการเรียนรู้การทำงานประชาสังคมกับแกนนำชุมชนที่ตื่นตัว กลุ่มคนเล็กๆ ในพื้นที่ที่ให้ความร่วมมือทั้งผู้ที่อยู่อาศัย เจ้าของธุรกิจ เจ้าของอาคาร และผู้ที่มีบทบาทในชุมชน ใช้กระบวนการระดมความคิด แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ สังเคราะห์ความคิดร่วมกัน ปลุกพลังทางวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตรวมหมู่ของคนในชุมชน สร้างแรงบันดาลใจในการริเริ่มสิ่งใหม่ๆทั้งจากพลังของผู้คนและการจัดการพื้นที่สาธารณะของชุมชนให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ เช่น ลานคนเมือง  การปิดถนนพระอาทิตย์ การจัดงานในย่านแพร่ง

ผู้ที่มีบทบาทอยู่ในองค์กรต่างๆ ขณะนั้น อาทิ อเนก นาคะบุตร  อ.อนุชาติ พวงสำลี อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ อ.ขวัญสรวง อติโพธิ และอีกหลายคนต่างก็สนใจร่วมกันผลักดันและดำเนินกิจกรรมเพื่อพัฒนาประชาสังคม กลางปี 2540  TEDNET ร่วมกับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา โครงการวิจัยและพัฒนาประชาสังคม บางกอกฟอรั่ม และพลเมืองผู้สนใจ เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดองค์กรเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในการจัดการประสานความเชื่อมโยงระหว่างส่วนกลางหรือระดับนโยบายกับเครือข่ายองค์กรประชาสังคมในพื้นที่และสร้างความชัดเจนในเรื่องประชาสังคมอย่างจริงจัง โดยอาศัยระบบการจัดการแบบเครือข่ายในชื่อ “ข่ายการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม” (Civicnet)

ภาคีที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านประชาสังคมอีกกลุ่มหนึ่งคือ สื่อมวลชนและพลเมืองที่สนใจด้านการสื่อสารจึงมีการเชื่อมต่อกันของสื่อมวลชน ผลักดันจนนำไปสู่การเกิด “ข่ายสื่อมวลชนและพลเมืองเพื่อประชาสังคม” (MassMediaNet) ที่ดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาประชาสังคมควบคู่กันไป 

ข่ายการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (Civicnet)  ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงเครือข่าย กลุ่ม องค์กรในระดับพื้นที่อันถือเป็นหน่ออ่อนประชาสังคม ให้เข้ามาด้วยกันอย่างหลวมๆ มีการเยี่ยมเยือนพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ และการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกันหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง มีความพยายามในการหนุนเสริมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันทั้งในเชิงเนื้อหาวิชาการและการคิดค้นรูปแบบการทำงานเชิงสร้างสรรค์ใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของทีมงานผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Change Agents) 

ข่ายประชาสังคมที่มีความเคลื่อนไหวทางสังคมและเข้ามาเชื่อมโยงกัน มีการรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้และหนุนเสริมกันทั้งในแง่ของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการพัฒนาศักยภาพร่วมกัน ซึ่งโครงการวิจัยและพัฒนาประชาสังคม ได้รวมรวมไว้ ได้แก่ 

• สงขลาประชาคม เกิดจากกลุ่ม องค์กรประชาชนต่าง ๆ ซึ่งมีความตื่นตัว เคลื่อนไหว ทำ กิจกรรมเพื่อบ้านเพื่อท้องถิ่นมานานนับสิบปี ต่อมาความเคลื่อนไหวเริ่มปรากฏต่อสาธารณะในวงกว้างมากขึ้น เริ่มต้นจากกลุ่มรักบ้านเกิดที่สานต่อกิจกรรม”โครงการโลกสดใสในบ้านเกิด” และเติบโตขยายหน่ออ่อนประชาสังคมขึ้นเป็นลำดับ ฐานเดิมของสงขลาก็คือความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มคนและประเด็นปัญหาที่แตกต่างไปตามบริบทของท้องถิ่น ทั้งทะเลสาบ แม่น้ำลำคลอง ป่า ทะเล เมืองเป็นต้น จึงทำให้มีกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ (civic groups) กระจัดกระจายกันไปตามพื้นที่ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเริ่มมีการประสานเข้าหากันเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น อันประกอบด้วย กลุ่มทางวิชาการกลุ่มชุมชนฐานล่างกลุ่มสนใจการเมืองภาคประชาชน กลุ่มด้านฝึกอบรมเสริมศักยภาพ กลุ่มสื่อ เป็นต้นและเริ่มสั่งสมประสบการณ์การทำงานร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากเทศกาลแห่งการเรียนรู้ เกิดกลุ่มสื่อ ท้องถิ่นที่มีพลัง เช่น โฟกัสสงขลา ในแง่กิจกรรมก็เริ่มมีความหลากหลายยิ่งขึ้น เช่น เกิดศูนย์ส่งเสริมพลเมืองเด็ก กลุ่มทางเท้า ชมรมร่มพฤกษ์ที่ทำงานเพื่อเด็กในสถานพินิจฯ เป็นต้น

• สถาบันพัฒนาสี่แยกอินโดจีน พิษณุโลก จุดกำเนิดของประชาคมพิษณุโลกในชื่อของ  “ชมรมศึกษาเพื่อการพัฒนาสี่แยกอินโดจีน หรือ ช.พ.อ.” เริ่มขึ้นในราวต้นปี 2540 เกิดจากการรวมตัวกันของนักวิชาการ ข้าราชการ นักธุรกิจ นักพัฒนา นักการเมือง ผู้นำชุมชน และประชาชน ที่สนใจจำนวนหนึ่ง โดยเริ่มต้นในลักษณะชุมชนวิชาการ จุดประกายความสนใจท้องถิ่นตนด้วยเวทีสองแควเสวนา เรื่อง “ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการพัฒนาที่ยั่งยืน” ยึดกุมเนื้อหาหลักเรื่องการพัฒนา พื้นที่สี่แยกอินโดจีน โดยมีเป้าหมายขยายเครือข่ายพันธมิตรเป็นประชาคมกลุ่มจังหวัดในพื้นที่พัฒนาเดียวกัน ได้แก่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ และพิจิตร โดยที่ก่อนหน้านั้น มีการรวมตัวกันในเชิงเนื้อหารณรงค์ในด้านเอดส์และสุขภาพอย่างเข้มข้นมาก่อน ช.พ.อ. ได้สั่งสมบทเรียนและขยายตัวในการทำงานอย่างรวดเร็วโดยการเชื่อมประสานกับส่วนราชการต่างๆ ใน จังหวัดและชุมชนทางวิชาการอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะในด้านการฝึกอบรมและกระบวนการกลุ่มจนล่าสุดมีการยกระดับการทำงานจากชมรมมาเป็นสถาบัน

• สมัชชาจังหวัดนครปฐม การเกิดขึ้นของกลุ่มชาวจังหวัดนครปฐม ที่ประกอบด้วยพ่อค้า นักวิชาการ ชาวบ้าน และผู้สนใจ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งการรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน นับว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะต่อมาได้ขยายบทบาทมาสู่การสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา จังหวัดในกิจกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากในเขตอำเภอเมืองเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่ากลุ่มสมัชชาจังหวัดนครปฐมจะเป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ในจังหวัดและยังไม่มีการทำงานเชื่อมกับองค์กรฐานล่าง (ซึ่งไม่ค่อยมี) แต่ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากความสม่ำเสมอในการพบปะพูดคุยกันเป็นประจำ การเข้าร่วมและผลักดันกิจกรรมของจังหวัดในจังหวะที่เหมาะสม ปัจจุบันเริ่มมีการสานต่อเชื่อมกลุ่มองค์กรพัฒนาภายในจังหวัดเป็น “ศูนย์ประสานงานองค์กรเอกชนประจำจังหวัดนครปฐม”

• นครสวรรค์-อุทัยธานี ต้นปี 2540 กลุ่มคนรักษ์ปากน้ำโพ ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรประชาชนใน จังหวัดนครสวรรค์ จุดประเด็นความสนใจต่อสาธารณะเรื่องการอนุรักษ์ขึงบอระเพ็ด ขณะที่ก็มีกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพยุหะฯ ทำงานเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมมาก่อนหน้านี้นานพอสมควร ซึ่งมีการจัดกิจกรรมร่วมกันอยู่บ้างและเริ่มมีการประสานเชื่อมต่อในส่วนของนักธุรกิจของจังหวัด เทศบาลสาธารณสุข เริ่มเกิดความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยลำดับ ส่วนที่จังหวัดอุทัยธานีนั้นมีลักษณะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด มีชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุทัยธานีเป็นแกนสำคัญ จัดงานอเมซิ่งอุทัยธานี ซึ่งช่วยจุดประกายผู้คนในจังหวัดอย่างมาก แม้ดูว่าทั้งสองจังหวัดนั้น อาจยังไม่ปรากฏตัวออกอย่างเข้มแข็ง แต่การสั่งสมประสบการณ์และเครือข่ายทางด้านสิ่งแวดล้อมมาในระยะเวลาหนึ่ง ก็คาดว่าประชาคมทั้งสองจังหวัดนี้น่าจะมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว

• ประชาคมขอนแก่น ขอนแก่นอยู่ในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาของภาคอีสาน จึงได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆ มากมาย อาทิ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีน้ำพอง ปัญหาชุมชนแออัดในเมือง ซึ่งภาคประชาชนในระดับรากหญ้าได้เคลื่อนไหว ดำเนินกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหาของตนมานาน ประชาคมจังหวัดขอนแก่นนั้นเป็นกลุ่มที่ได้รับการหนุนเสริมในฐานะกลุ่มจังหวัดนำร่องของสภาพัฒน์มาแต่ต้น ซึ่งก็ดำเนินกิจกรรมในลักษณะเครือข่ายด้านกว้างมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวในส่วนอื่น ๆ ของจังหวัดก็ยังคงมีความเข้มข้นไม่น้อยกว่ากันเช่น กลุ่มขอนแก่นฟอรั่ม เครือข่ายขอนแก่นนครเมืองน่าอยู่ เครือข่ายชุมชนแออัด และที่เป็นกำลังฐานล่างในการฟื้นฟูตนเองด้านเศรษฐกิจได้อย่างเข้มแข็งที่สุด เห็นจะเป็นเครือข่ายของมูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิต ซึ่งมีขอบข่ายการทำงานในเขตเทศบาลและที่อำเภออุบลรัตน์

• ประชาคมจังหวัดมหาสารคาม ก่อรูปขึ้นภายใต้การผลักดันของผู้นำคนสำคัญคือ คุณอำนวย ปะติเส โดยมีมูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาสารคามเป็นกลไกในการทำงาน ที่มุ่งเน้นใช้การวิจัยและพัฒนา เข้าไปส่งเสริมกระบวนการพัฒนาจังหวัดร่วมกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ด้วยเห็นว่า จะเป็น จุดที่ช่วยขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจังหวัดที่สำคัญ ปัจจุบันกิจกรรมของกลุ่ม จังหวัดมหาสารคามมีมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นพี่เลี้ยงสำคัญและดำเนินกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง

• ศูนย์ประสานงานประชาคมจังหวัดน่าน กลุ่มฮักเมืองน่านเป็นฐานองค์กรชุมชนฐานล่าง ที่มีการทำงานยึดติดพื้นที่มาเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปี มีความเข้มแข็งทั้งในด้านเนื้อหาและขอบข่ายกิจกรรม อาทิ เครือข่ายพระสงฆ์ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายออมทรัพย์เครือข่ายเยาวชน เครือข่ายป่า เครือข่ายปลา เป็นต้น ต่อมาได้เชื่อมโยงกิจกรรมในระดับฐานล่างกับเครือข่ายในเมืองที่มีกลุ่ม นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร ที่รณรงค์เพื่อเรียกร้องการจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดน่าน และต่อมามีการขยายกิจกรรมในด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยว การรณรงค์สิ่งแวดล้อมเมือง รวมตัวกันเป็น “ศูนย์ประสานงานน่านสันติสุข” และต่อมาเปลี่ยนเป็น “ศูนย์ประสานงานประชาคมจังหวัดน่าน” จังหวัดน่านนั้นถือว่าเป็นแบบอย่างของการเชื่อมประสานระหว่างงานเมืองและงานชนบทได้อย่างดีและสามารถเติบโตขึ้นบนฐานการเชื่อมโยงภาคีต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างกว้างขวาง

• กลุ่มคนรักเมืองเพชร เพชรบุรีเป็นจังหวัดในเป้าหมายจังหวัดนำร่องของสภาพัฒน์เช่นกัน มีกลุ่มคนที่หลากหลาย มีเครือข่ายกลุ่มออมทรัพย์เดิมที่มีความเข้มแข็ง มีกลุ่มที่ทำงานด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีกลุ่มยายกับตาที่ทำงานด้านเด็ก การเชื่อมโยงเครือข่ายของกลุ่มในจังหวัดเพชรบุรีเมื่อต้นปี 2529 ทำให้เกิดเป็น “กลุ่มคนรักเมืองเพชร” ทำหน้าที่ประสานการดำเนินกิจกรรมใน จังหวัดมาโดยลำดับ

• ประชาคมนครศรีธรรมราช ฐานเดิมของจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นมีกลุ่มนครฟอรั่ม ที่มีการจัดเวทีอยู่เนืองๆ นอกเหนือจากกลุ่มพัฒนาอื่น ๆ ต่อมาจึงเริ่มมีการเคลื่อนไหวประสานการทำงานในส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยมีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เข้ามามีบทบาทสำคัญในทางวิชาการ มีการสำรวจกลุ่มองค์กรต่าง ๆ และสานการทำกิจกรรมเรื่อยมา

ในส่วนความเคลื่อนไหวของประชาสังคมในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีบางกอกฟอรั่ม จัดกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมและพัฒนามาสู่การเชื่อมโยงกับข่ายการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม อย่างเช่นเรื่องราวของ

ลานคนเมือง  

บางกอกฟอรั่ม ได้ทดลองเปิดพื้นที่สาธารณะ (public space) ที่เรียกว่า “ลานคนเมือง” ให้เป็นพื้นที่พบปะ พูดคุย จัดกิจกรรมของผู้คนแต่ละชุมชน ซึ่งมีชีวิตทางสังคมที่ขาดหายไปในเมืองใหญ่ ต่างจากสังคมในอดีตที่มีพื้นที่อย่างลานบ้าน ลานวัด เป็นพื้นที่ให้ได้พบปะพูดคุย ปรึกษาหารือ สนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ทั้งในระดับบุคคลต่อบุคคล ระดับกลุ่ม และกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เป็นพลังต่อรองในการกำหนดอนาคตตนเอง

อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์  ผู้ประสานงานบางกอกฟอรั่ม ในขณะนั้น กล่าวว่า “ลานคนเมือง” เป็นการสร้างทางเลือกให้กับคนเมือง ให้มีพื้นที่พบปะพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นพื้นที่ความสุขที่ทุกคนได้มีส่วนร่วม ไม่ใช่ไปนั่งเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง หรือคอยเป็นผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว พื้นที่สาธารณะนั้นเป็นเสมือนโครงสร้างพื้นฐาน (civic infrastructure) ส่งเสริมการรวมตัวกันของชุมชน เป็นส่วนร่วมทางการเมืองขั้นพื้นฐานที่สุด 

ลานคนเมือง จึงเป็นเสมือนพื้นที่ทดลองที่นำร่องความคิดริเริ่มในการปรับปรุงละแวกชุมชนที่อยู่อาศัยให้มีพื้นที่กายภาพที่เป็นพื้นที่สาธารณะที่จะรองรับการใช้ชีวิตทางสังคม การพบปะพูดคุยกันของคนในชุมชน โดยใช้กระบวนการประชาสังคมในการหล่อหลอม 

สนุกกับถนน ฟื้นชุมชนพระอาทิตย์ 

เกือบ 1 ปี ที่บางกอกฟอรั่ม ได้เตรียมงาน จัดกระบวนการกับผู้คนในย่านบางลำพู ชักชวนให้รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ของถิ่นที่อยู่ ทำให้เกิดการตื่นตัวที่จะรู้จักชุมชน ค้นหาความเป็นชุมชน รวมทั้ง ต้นลำพู สองต้นสุดท้ายของย่านที่หลงเหลืออยู่ ที่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของย่านบางลำพู 

ชักชวนให้คนในชุมชนสืบค้นประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับสถาปัตยกรรมที่ปรากฏอยู่ เรื่องราวของทั้งเจ้านายและขุนนาง รวมไปถึงสามัญชนรายทางถนนพระอาทิตย์ การรื้อฟื้นชุมชนดนตรีไทยหลายตระกูล และงานฝีมือช่างทองราชสำนัก รวมไปถึงเรื่องราวของคนในย่านที่มีการส่งต่อกันมา

กระบวนการเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนในชุมชน ที่เป็นแรงบันดาลใจกระตุ้นให้ชุมชนเห็นความสำคัญในการเข้ามามีส่วนจัดการบ้านเมืองที่เป็นอนาคตของบางลำพูที่น่าอยู่ที่เป็นวาระและเจตจำนงของคนในย่าน ที่ต่อมาร่วมมือกันก่อตั้งเป็น “ประชาคมบางลำพู” 

การเตรียมตัวที่ใช้เวลาเกือบ 1 ปี เพื่อจัดงานปิดถนน 1 วัน ที่ถนนพระอาทิตย์ ย่านบางลำพู ในวันอาทิตย์ที่  18 มกราคม 2541 ในชื่องาน “สนุกกับถนน ฟื้นชุมชนพระอาทิตย์” ที่ได้รับความร่วมมือจากบุคคลและองค์กรภายนอกชุมชน ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน นักธุรกิจ และอาสาสมัคร และกรุงเทพมหานครที่อำนวยความสะดวกให้  มีการจัดงานรื่นเริง เช่น เดินทัวร์ชุมชน กิจกรรมสำหรับเด็ก การละเล่น ดนตรี ละคร ลิเก กีฬาพื้นบ้าน การขายสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน เช่น ขนมหวาน โรตี มะตะบะ เป็นต้น 

นับเป็นการปิดถนนเพื่อจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย ที่จุดกระแส “ถนนวัฒนธรรม” มีร้านค้าต่างๆ ร่วมกับคนในชุมชนที่ต้องการฟื้นฟูเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาย่าน ชุมชนและเมืองที่เป็นถิ่นที่อยู่ อีกทั้งยังเป็นการสร้างสรรค์เมืองจากแนวคิดประชาสังคมที่เป็นรูปธรรม

…..

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ Civicnet ดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นความพยายามในการเชื่อมโยงเครือข่าย กลุ่ม องค์กรในระดับพื้นที่อันถือเป็นหน่ออ่อนประชาสังคม และการสร้างองค์ความรู้ควบคู่ไปกับขบวนการเคลื่อนไหวประชาสังคมในช่วงเวลานั้น 

อ้างอิงข้อมูลจาก 

– หนังสือ ขบวนการประชาสังคมไทย : ความเคลื่อนไหวภาคพลเมือง,บรรณาธิการ อนุชาติ พวงสำลี และ กฤตยา อาชวนิจกุล  โครงการวิจัยและพัฒนาประชาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล,2542

– หนังสือ สำนึกพลเมือง ความเรียงว่าด้วยประชาชนบนเส้นทางประชาสังคม, เรียบเรียง ยุทธนา วรุณปิติกุล/ สุพิตา เริงจิต, มูลนิธิการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม,2542 


ผู้เรียบเรียง : ปิยนาถ ประยูร

IG : natarach