บางกอกฟอรั่ม

ลานคนเมือง ถนนพระอาทิตย์ และสามแพร่ง

บทบาทของ “บางกอกฟอรั่ม” กับเส้นทางการปลุกพลังสร้างสรรค์เมืองของชุมชน

(บทความจากหนังสือ “สำนึกพลเมือง : ความเรียงว่าด้วยประชาชนบนเส้นทางประชาสังคม”)

บางกอกฟอรั่ม : การปั้นแต่งประชาสังคม

 

แม้ว่าวิกฤตบางอย่างเช่นการจราจรจะนำไปสู่ความร่วมมือมีปรากฏให้เห็นบ้างแต่ก็ยังไม่เพียงพอ การสร้างเงื่อนไขบางอย่างเพื่อเปิดให้คนที่อยู่กันแบบปัจเจกชนในเมืองใหญ่ๆ ได้มีโอกาสพบปะกัน เพื่อให้เกิดการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็นไปในทำนองของชุมชนที่เกิดจากการวางแผน หรือ community by design ก็มีความจำเป็น

 

“บางกอกฟอรั่ม” ก่อตัวขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ มีเป้าหมาย ร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาเมืองที่นับวันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเปิดเป็นเวทีทางความคิด ระดมสมองเพื่อกระตุ้นให้คนกรุงเทพฯ หรือผู้ที่มาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหามากขึ้น พร้อมไปกับการผลักดันภาครัฐ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นเช่นกรุงเทพมหานคร ให้ยอมรับบทบาทของปัจเจกชนและชุมชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะต่างๆ

กลุ่มบางกอกฟอรั่ม นำเอาเทคนิคต่างๆของการทำงานกลุ่มเข้ามาช่วยสร้างวิสัยทัศน์ในการทำงานของกลุ่มองค์กรพลเมือง อาทิ Social Change Management, Future Search Conference, Strategic Planning. สร้างวิสัยทัศน์ในการทำงานของกลุ่มองค์กรพลเมือง อาทิ Social Change Management, Future Search Conference, Strategic Planning

 

การกระตุ้นให้คนกรุงเทพฯเกิดจินตภาพถึง “เมืองที่น่าอยู่” ในอนาคตตามโครงการกรุงเทพฯน่าอยู่ หรือ Humanizing Bangkok Project เริ่มด้วย กิจกรรม ฟื้นฟูและรักษาละแวก/ย่าน ได้รับการขานรับจากทั้งคนในย่านนั้นเอง สื่อ ตลอดจนองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ด้วยต่างล้วนเผชิญกับความทุกข์จากชีวิตประจำวันในเมืองหลวงอย่างไร้ทางออก

 

การก่อตั้งประชาคมพระอาทิตย์ ซึ่งขยายเป็นประชาคมบางลำพูในเวลาต่อมาเมื่อชุมชนอื่นๆ ย่านลำพูเข้าร่วมสมทบ กระบวนการรวมกลุ่มของประชาชนเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นจากการจัดเทศกาลปิดถนนพระอาทิตย์ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีโอกาส ลิ้มลองวัฒนธรรมและชีวิตรวมหมู่ ที่สร้างขึ้นได้ถ้าร่วมมือกัน

 

ความหมายของเมืองที่น่าอยู่นั้น ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ แกนนำบางกอกฟอรั่มให้คำจำกัดความไว้ว่า ต้องเป็นเมืองที่เอื้อต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมืองที่น่าอยู่นี้คนในเมืองนั้นต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่รอให้รัฐทำแต่ต้องลงมือปฏิบัติก่อน

 

 

นอกจากเวทีในกรุงเทพ บางกอกฟอรั่มได้เชื่อมโยงกับกลุ่มในเขตเมืองตามจังหวัดต่างๆ หลายแห่งที่กำลังเดินตามรอยเท้าการพัฒนาแบบกรุงเทพฯ เช่น สงขลาฟอรั่ม ชมรมรักบ้านเกิด (นครฯฟอรั่ม) เพื่อกระตุ้นให้เห็นความจำเป็นของการร่วมมือของกลุ่ม และปัจเจกบุคคลในการจัดการถิ่นที่อยู่ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวทางสังคม

“คนกรุงเทพฯเวลาไปเมืองนอก ไปยุโรป สวิตเซอร์แลนด์กลับมาชมว่า ที่โน่นที่นี่ดีแล้วก็ด่าเมืองตัวเอง ทำไมเขาไม่ยอมคิดไม่ยอมเข้าใจว่า เมืองนอกที่คุณประทับใจมาก ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่มันเกิดจากการจัดการขนานใหญ่ เกิดจากความคิด เกิดจากความละเอียดการเอาจริงเอาจังของผู้คนในเมืองนั้น  

ขวัญสรวง อติโพธิ

“คนไทยนี่แปลกจริงๆ ด้านหนึ่งอดทนกับความทุกข์ทรมาน อีกด้านหนึ่งเรียกร้องเขา อยากได้โน่นอยากได้นี่ นิสัยนี้คือ นิสัยผู้บริโภค เรียกว่า นิสัยทาสก็ได้นะ รอให้เขาทำให้เสร็จให้หมด แต่ตัวเองไม่เคยคิดทำ มีอย่างเดียวคือ อดทนรอ ..และถ้าคนอื่นไม่ทำด่าแหลกเลยนะแต่จะให้ทำอะไรไม่ทำ อดทนยอมทุกอย่าง”

ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์

ลานคนเมือง : การทวงคืนพื้นที่สาธารณะ

 

วาระโอกาสของการได้พบปะหรือมี “พื้นที่” ที่จะทำกิจกรรม ร่วมกันทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการเพื่อเป็นช่องทางที่ผู้คนแต่ละคนในชุมชน ตลอดจนในระดับสังคมได้ปรึกษา สนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวพื้นๆ ตลอดจนปัญหาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะในรูปบุคคลต่อบุคคล, หรือในระดับกลุ่ม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อเกิดพลังต่อรองในการกำหนดอนาคตของตัวเอง

“บางกอกฟอรั่ม” ได้ทดลองเปิดพื้นที่สาธารณะ (public space) ในนาม “ลานคนเมือง” ให้เป็นพื้นที่เชิงกายภาพที่คนเมืองสามารถออกมาพบปะทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกันซึ่งพื้นที่แบบนี้ขาดหายไปจากชีวิตในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ  ต่างจากชีวิตทางสังคมในอดีตหรือต่างจังหวัดในปัจจุบันซึ่งยังมีลานบ้าน ลานวัด รองรับ

 

เริ่มต้นด้วยการเปิดพื้นที่บริเวณหน้าวัดสุทัศน์ จัดงานสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือน ธันวาคมปี ๒๕๓๘ สร้างกิจกรรม บรรยากาศที่เปิดโอกาสให้คนเข้าร่วมมากที่สุดเพื่อสัมผัสกับความสุขนอกห้างสรรพสินค้าและนอกจากการซื้อชีวิตที่ดี

 

ติดตามด้วยความคิดทำถนนบางสายให้เป็น walking street เริ่มด้วยการลงไปเสนอความคิด และจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนในละแวกนั้นๆ อาศัยชุมชนเก่าๆของกรุงเทพฯ ที่คาดว่า ยังมีเยื่อใยของความเป็นชุมชนอยู่บ้าง เช่น ชุมชนเสาชิงช้า ชุมชนพระอาทิตย์ เป็นจุดเริ่มต้น

(1)  อ้างใน วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์.สัมภาษณ์ ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์,ขวัญสรวง อติโพธิ “ทำเมืองไทยให้น่าอยู่และยั่งยืน”. บ้านของเรา ทำเมืองไทยให้น่าอยู่และยั่งยืน.หนังสือประกอบงานเวทีสิ่งแวดล้อมไทย ๓๙,กรุงเทพฯ:-ข่ายความร่วมมือเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (TEDNET),๒๕๓๙.,น.๙๕-๙๖. 

ชัยวัฒน์เห็นว่า ลานที่เปิดขึ้นนี้เป็นการสร้างทางเลือกให้กับคนเมือง “คนก็จะไม่ต้องเข้าแต่ห้างสรรพสินค้ากัน แล้วจะมาพบปะพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกัน จะเป็นความสุขที่ทุกคนเป็นผู้ร่วมแสดงด้วย ไม่ใช่นั่งดูเขา หรือคอยบริโภคอย่างเดียว มันเป็นวัฒนธรรมทางเลือกที่สังคมปัจเจกบุคคลร่วมกันสร้างขึ้น มันจะมีสีสัน จะสร้างให้มนุษย์ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วเหมือนไม่สำคัญ แต่จริงแล้วเป็นการปลุกมนุษย์ให้มีส่วนร่วม” (1)

 

 

พื้นที่สาธารณะที่เปิดใหม่ เป็นเสมือนโครงสร้างพื้นฐาน (Civic Infrastructure)

ส่งเสริมการรวมตัวของคนในชุมชน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ลานคนเมืองนี้ กลุ่มผู้ทำงานคาดหมายว่า จะนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมใหม่ และการเคลื่อนไหวที่มีสีสันในระดับต่อไปเช่นการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองขั้นพื้นฐานที่สุด ด้วยการริเริ่มปรับปรุงละแวกที่อยู่อาศัยของตัวเอง

โดยนัยนี้ “การเมือง” จึงไม่ได้หมายถึงแค่การเลือกตัวแทนของตนเข้าไปนั่งในส่วนปกครองท้องถิ่น แล้วอดทน รอคอยการจัดการจากภาครัฐ

ซึ่งอาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น สอดคล้องกับผลประโยชน์หรือความต้องการของชุมชนหรือไม่ก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่หมายถึง ปัจเจกชนและชุมชน ต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจและกำหนดนโยบายสาธารณะในท้องถิ่น ที่ยังผลต่อความสุข ความปลอดภัยและเป็นเงื่อนไขในการพัฒนาชีวิตของชุมชน

“สนุกกับถนนเพื่อปลุกชุมชน”

 

อาทิตย์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๑ ที่ถนนพระอาทิตย์ ย่านบางลำพู ผู้คนได้เข้ามายึดพื้นที่

ของรถเป็นเวลา ๑ วัน เพื่อจัดงาน “สนุกกับถนน พื้นชุมชนพระอาทิตย์” งานจัดขึ้นเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาบ้านเมือง ด้วยการสร้างกระแส “ถนนวัฒนธรรม” มีร้านค้าต่างๆ ร่วมกับคนในชุมชนที่ต้องการฟื้นฟูเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน

การจัดงานปิดถนนพระอาทิตย์ ได้รับความร่วมมือจากบุคคลและองค์กรภายนอกชุมชน ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน ธุรกิจ และอาสาสมัคร มีการจัดงานรื่นเริง อาทิ เดินทัวร์ชุมชน กิจกรรมสำหรับเด็ก การละเล่น ดนตรี ละคร กีฬา ลิเก และการขายสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ ชุมชน เช่น ขนมหวาน นอกจากนี้ ละครร้อง การสลักหยวก ที่หาชมได้ยากก็พบว่ายังไม่สูญสลาย  การเตรียมงานได้รับความร่วมมือจากคนเก่าแก่ในพื้นที่เป็นอย่างดี ทั้งผู้ที่ยังอาศัยอยู่และที่ย้ายออกไปแล้วเพราะสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลงได้กลับมาร่วมงาน

ในขณะที่ประวัติศาสตร์ของเจ้านาย และขุนนาง ปรากฏอยู่คู่กับสถาปัตยกรรม สำหรับชุมชนสามัญชนรายทางถนนพระอาทิตย์ ก็เป็นโอกาสเปิดตัวให้สาธารณะรู้จัก เช่น ดนตรีไทยสำนักดุริยะประณีต ทั้งนำไปสู่การรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ของชุมชนดนตรีไทยหลายตระกูล ตลอดจนชุมชนช่างฝีมือ อาทิ งานฝีมือช่างทองราชสำนักกรุงเทพ

 

เกือบ ๑ ปี ของการเตรียมงาน “ตัวตน” และ “ชื่อ”  ของบางลำพู และการรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ของถิ่นที่อยู่ ทำให้เกิดการตื่นตัวที่จะรู้จักชุมชน การค้นหา ต้นลำพู สองต้นสุดท้ายของย่านที่หลงเหลืออยู่ น้อยคนที่รู้ว่าสัญลักษณ์ของย่านยังไม่สูญสิ้น เช่นเดียวกับประวัติของย่านการปิดถนนจบลงในวันนั้น แต่ประสบการณ์ ความประทับใจไม่จบสิ้น การเรียนรู้จากการทำงานร่วมกันของคนในชุมชน และองค์กรภายนอก เป็นแรงบันดาลใจกระตุ้นชุมชนให้เห็นความสำคัญเข้ามามีส่วนจัดการบ้านเมือง ส่วนอนาคตต่อไปของบางลำพูที่น่าอยู่เป็นวาระและเจตจำนงของเจ้าถิ่น

สื่อสารและร่วมสร้างสรรค์

 

“ประชาคมถ้าแปลกันตรงๆ จากฝรั่งก็คือ community ซึ่งต้องมีการติดต่อ สื่อสารกัน และต้องเป็น two ways communication ไม่ใช่ one way communication ที่ผู้มีอำนาจเบื้องบนคิดอะไรก็สั่งลงมา แต่ต้องมีการออกความเห็น มีการแย้ง สามารถสังเคราะห์สิ่งต่างๆ ในความหลากหลาย ให้มีความเป็นเอกภาพ ดังนั้นประชาสังคมต้องมีความหลากหลาย ต้องสังเคราะห์ความคิด และต้องมีกระบวนการระดมความคิด ที่สำคัญต้องให้ที่ทางกับเสียงส่วนน้อย สิ่งเล็กๆน้อยๆ พูดง่ายๆว่า ประชาสังคม เป็นขบวนการให้สิทธิเสรีภาพ ให้ความรับผิดชอบแก่มนุษย์ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  (2)

ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ สรุปความคิดในการทำงานประชาสังคมในเมือง


การสร้างสรรค์เมืองมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยตามทิศทางของอนาคตที่ก้าวไปสู่ความเป็นมหานครของเมืองใหญ่ๆ ชุมชนที่หนาแน่นนำไปสู่ความเครียด “มนุษย์อยู่ใกล้กันความเสียดสีมันสูง คน -๕ คน นั่งอยู่ด้วยกัน นั่งชิดกัน ห่างกัน มันสร้างความรู้สึกบางอย่าง space ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ถูกอัดอยู่ด้วยกัน” 


ดังนั้นในอนาคตจำเป็นต้องมีกติกาของการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แบบที่ผ่านมาไม่มีกลไกในการจัดการ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ทั้งโครงการของรัฐและเอกชนเช่นการสร้างทางด่วน การพัฒนาที่ดิน ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาตามการเปลี่ยนแปลงของเมืองหลายๆ กรณีก็ละเมิดผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนโดมิเนียมบังแดด บังอากาศ แย่งการใช้น้ำ การสร้างสภาพแวดล้อมรกร้าง ตายด้านในชีวิตประจำวันของคนเมืองเช่นที่ว่างชนิดต่างๆ เพื่อรองรับรถยนต์ ใต้ทางด่วน สร้างก่อสร้างรกร้าง แออัด 

“สังคมแบบนี้จะหนักขึ้นเรื่อยๆ.. โครงการบ้าๆ อีกเยอะแยะที่จะมาเล่นงานสังคม อีกหลายชุมชนจะถูกเล่นงานเมื่อไรโดยสภาพอย่างไรก็ไม่รู้  ..มันมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในสังคมเป็นระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่”