ความเคลื่อนไหวของประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” เกิดขึ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 ที่ทำให้ประเทศไทยต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และกู้เงินจำนวนมากจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อพยุงเศรษฐกิจและดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มงวด เช่น การขึ้นดอกเบี้ย, การปิดสถาบันการเงิน, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นวิกฤตด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเสียหายและกระทบไปถึงประชาชนทั้งประเทศ

วิกฤตนี้เป็นผลพวงจากการเดินบนเส้นทางของเศรษฐกิจฟองสบู่ แล้วเมื่อเกิดวิกฤตก็ยังมีการเรียกร้องให้เดินบนเส้นทางเดิมที่ทำให้เศรษฐกิจฟองสบู่กลับมา ทำให้ปัญหาหมุนวนไปที่เดิมและอาจจะเลวร้ายกว่าเดิม หรืออาจจะสร้างหายนะมากกว่าการสูญเสียรายได้ที่เป็นเงิน การเคลื่อนไหวของประชาคม กอบบ้าน กู้เมือง จึงเป็นการร่วมกันของคนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายอาชีพ ที่มีภูมิปัญญาการแก้ปัญหา มีประสบการณ์ที่สร้างความเข้มแข็งให้กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เอาตัวรอดได้แบบที่ไม่พังครืนลงมา มีความเข้มแข็งพอที่จะก่อรูปกันเป็นขบวนการของประชาชนที่มีความคิดพึ่งตนเอง จึงต้องมีการรวมกันเป็นขบวนการของ “ประชาคม”

ความเคลื่อนไหวของพลเมืองยามวิกฤต เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ที่มีวิกฤตรัฐธรรมนูญ และในครั้งนั้นก็เกิดเครือข่ายของภาคพลเมืองในการระดมความคิดเห็น ค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญทั่วโลก เพื่อค้นหาแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญที่มีส่วนร่วมจากประชาชนให้มากที่สุด เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่จะต้องมีการจัดการหนี้สินของชาติ ประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” ก็ได้ค้นความรู้ด้านเศรษฐกิจ ภูมิปัญญาเพื่อฝ่าวิกฤต กอบกู้ประเทศชาติจากภาวะหนี้สิน แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชน

ประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” เป็นขบวนการของพลเมืองที่เป็นการทำร่วมกันเพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่ เพราะเจอปัญหาของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ที่มีคนฉ้อฉลทำธุรกิจเสียหาย ล้มละลายแต่เขาก็ยังรวยอยู่ แต่ประชาชนจนลง แล้วยังมีการเก็บเงินจากประชาชนมากขึ้นเพื่อใช้หนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยุติธรรม จึงต้องมีการเรียนรู้เพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่ที่รับผิดชอบมากกว่านี้

เวทีประชาคมเป็นเวทีของการเรียนรู้ของคนที่หลากหลายมาเรียนรู้ด้วยกัน จะมีลักษณะของการเคลื่อนไหวในประเด็นสำคัญ เป็นการก่อตัวของประชาคมที่ก่อตัวเพื่อการเรียนรู้ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ทางเลือกใหม่ให้กับสังคม และยกระดับในทางปัญญา


การขยายตัวของ ประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” ให้มีเวทีเรียนรู้ที่ขยายตัวรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องทำงานในระดับจังหวัดที่เป็นเครือข่ายที่เรียกว่า Civicnet เครือข่ายประชาคมจังหวัด ประมาณ 20 จังหวัด มีการจัดเวทีประชาคมกอบบ้านกู้เมืองของเครือข่ายประชาสังคม ค้นหาความรู้และทางออกของประชาชนเอง จัดทำข้อเสนอที่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องของประชาคมในแต่ละจังหวัด มีเวทีวิชาการของเศรษฐกิจพึ่งตนเอง มีนักวิชาการด้านเศรษฐกิจพอเพียง มาร่วมกันสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้กับสังคม

ความเคลื่อนไหวสำคัญของประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” อาทิ
เวทีประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” ที่มีการจัดเวทีครั้งแรก เป็นการเสวนา “ปัญญาไทย กอบบ้าน กู้เมือง” จากงานครบรอบ 1 ปี แห่งการสูญเสียจำนวนมหาศาลในการต่อสู้ค่าเงินบาท เป็นการจัดงานขึ้นเพื่อจุดประกายให้สาธารณะชนได้ตื่นรู้และรับทราบถึงที่มา ที่ไป สถานการณ์ และความจริงของวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ พร้อมทั้งเป็นการเปิดตัวประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2541 ณ ป้อมพระสุเมรุ ถ.พระอาทิตย์

การจัดเวทีวิชาการประชาคมกอบบ้านกู้เมือง “กองทุนฟื้นฟูฯ : หลุมดำเศรษฐกิจไทย” เพื่อเปิดเผยข้อมูลและมุ่งสร้างความรู้ ความกระจ่างต่อวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น รวมถึงการวิพากษ์ วิจารณ์แนวทาง และกระบวนการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อปัญหาที่จะลุกลามต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังได้อภิปรายถึงทิศทางหรือทางเลือกของสังคมไทยในภายภาคหน้า งานนี้จัดขึ้นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2541 โดยความร่วมมือของสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย มูลนิธิโกมล คีมทอง สถาบันปรีดี พนมยงค์ หนังสือพิมพ์มติชน และประชาคมกอบบ้านกู้เมือง ณ ห้องประชุม สถาบันปรีดี พนมยงค์

จากนั้นก็มีเวทีเสวนาเพื่อปลุกจิตวิญญาณความรักบ้านเมือง ปลุกความเป็นพลเมืองของประชาชนคนธรรมดาทั่วไป ให้ลุกขึ้นมาใช้ปัญญากอบกู้ตนเองท่ามกลางวิกฤตอันหนักหน่วง โดยมีประสบการณ์กอบกู้บ้านเมืองจากประชาคม 4 ภาค มานำเสนอและแลกเปลี่ยนกันในหัวข้อเสวนา “พลังสร้างสรรค์ของท้องถิ่น” เวทีนี้จัดประกอบในงานประกาศเจตนารมย์ ประชาคม “กอบบ้าน กู้เมือง” เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2541 ณ ลานเสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร

การเคลื่อนไหวจัดเวทีประชาคมแต่ละครั้ง มีผู้เข้าร่วมในแต่ละครั้งที่จัดเวทีจำนวนมาก ทั้งนักวิชาการ นักคิด นักศึกษา สื่อสารมวลชน เอกชนธุรกิจ ประชาสังคม และได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา มูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ มูลนิธิหมอชาวบ้าน มูลนิธิหมออนามัย มูลนิธิแพทย์ชนบทแห่งประเทศไทย ข่ายการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (Civicnet) ข่ายความร่วมมือเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาไทย (TEDNET) โครงการวิจัยและพัฒนาประชาสังคม มหิดล มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มูลนิธิสานแสงอรุณ มูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดี จ.ขอนแก่น ชมรมศึกษาเพื่อการพัฒนาสี่แยกอินโดจีน พิษณุโลก มูลนิธิเด็ก โรงเรียนรุ่งอรุณ เครือข่ายองค์กรกลางภาคเหนือ มูลนิธิโกมลคีมทอง และอีกกว่า 70 องค์กรร่วม “กอบบ้าน กู้เมือง”

ผู้เรียบเรียง : ปิยนาถ ประยูร
IG : natarach
ย่ำค่ำของวันอาทิตย์ที่ 4 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2541 ณ ลานเสาชิงช้า ใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์
ในท่ามกลางอาณาบริเวณอันเก่าแก่แห่งบรรพชนนี้ ประชาชนไทยอันแตกต่างหลากหลาย ทั้งที่เป็นชาวพระนครและชาวท้องถิ่นหัวเมืองต่างๆ ได้มาประชุมกัน ด้วยความวิตกห่วงใยถึงวิกฤตการณ์อันใหญ่หลวง ซึ่งกำลังครอบคลุมชีวิตและแผ่นดินไทยของพวกเราทุกคนทั้งในวันนี้และในอนาคต
ด้วยสำนึกของความเป็นพลเมือง ประชาคม "กอบบ้านกู้เมือง" ขอประกาศเจตนารมย์ให้เป็นที่ตระหนักต่อสาธารณชน คนร่วมแผ่นดิน ทั้งให้เป็นคำมั่นสัญญาของพวกเราด้วยกันเองในการร่วมกันเคลื่อนไหวทางสติปัญญาเพื่อกอบบ้านกู้เมือง ดังนี้
เส้นทางเก่าที่เดินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
วิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตด้านอื่นๆ อันต่อเนื่องกันมา ส่งผลรวมเป็นความทุกข์ยากอันใหญ่หลวงของชีวิตและแผ่นดินไทยเราในทุกวันนี้นั้น ล้วนเป็นผลมาจากการสั่งสมของความผิดพลาดของระบบ คือ โครงสร้าง กระบวนการ และวิธีคิดต่างๆ อันดำรงมาอย่างต่อเนื่องยาวนานในการแก้ไขวิกฤตของบ้านเมืองครั้งนี้ หากไม่เปลี่ยนแปลงความผิดอันเป็นพื้นฐาน จึงเท่ากับเป็นการวนเวียน ซ้ำซาก เข้าทางตัน จมอยู่กับคนการเมืองเดิมๆ และเหตุการณ์เก่าๆ เพราะฉะนั้นหากจะให้หลุดพ้นวิกฤต พาบ้านเมืองไปให้รอด ความคิดใหม่ เส้นทางใหม่ คือ ความจำเป็น
ความสมานฉันท์ที่จำเป็น
ความไม่เสมอภาคและความไม่ยุติธรรมในสังคมของเรานั้น ดำรงอยู่จริงและยาวนาน เป็น ปัญหาของการพัฒนาประเทศต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ แต่ในยามที่บ้านเมืองและคนในชาติทุกคน ต้องเข้าเผชิญภาวะวิกฤตร่วมกันในครั้งนี้ ความสมานฉันท์ของคนในชาติ คือความจำเป็นอย่างยิ่ง
การอ้างและมุ่งนำเอาความเหลื่อมล้ำ ไม่ยุติธรรมทางสังคม มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
เพื่อเอาชนะคะคาน หรือชิงอำนาจ เกิดเป็นความแตกแยก เฝ้าแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของสมาชิกต่างๆ แห่งสังคมไทย เป็นเรื่องไม่สมควรและอันตรายเป็นอย่างมาก
หวังได้ว่าความมุ่งมั่นและการเคลื่อนไหวเพื่อกอบกู้ตนเอง และหาทางออกร่วมกันของท้องถิ่นไทยต่างๆ ในวันข้างหน้า จะสามารถแก้ไขสร้างความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคมไทยเกิดขึ้นมาได้ในที่สุด
ตระหนักว่า นี่คือจุดเปลี่ยน
ปัญหาและความทุกข์ยากของชีวิตและแผ่นดินคราวนี้หนักหน่วงยิ่งนัก ความรุนแรงของปัญหา โอกาส และศักยภาพในการแก้ไขที่อาจสูญเสียไป หรือกระทั่งการเดินทางผิด ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งปัจจัยจากโลกภายนอกที่เข้ากำหนดอย่างแน่นหนา ทั้งหมดนี้รวมกันแล้ว ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนของสังคม เป็นทางแพร่งที่ไปแล้วไปลับ ต้องเอาจริงและตัดสินใจให้แม่นยำ เพราะโอกาสไม่มีอีกแล้ว
ลุกขึ้นสร้างปัญญา ฝ่าวิกฤต
เส้นทางเก่าที่เดินต่อไปไม่ได้ การเรียกร้องความสมานฉันท์ในสังคม และทางแพร่งที่ต้องตัดสินใจ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาระกิจที่ต้องการงานทางปัญญา และการสร้างสรรค์อันใหญ่หลวงของสังคมขึ้นมาแบกรับให้เหมาะสมกัน
เราเชื่อมั่นว่า พลังสร้างสรรค์ของคนเล็กๆ ในสังคมของเรานั้นมีมากมาย เพียงสร้างปัจจัยแวดล้อมและโครงสร้างให้เข้ารองรับศักยภาพเหล่านี้ ปัญญาและพลังสร้างสรรค์ของประชาชนอันแตกต่างหลากหลายในท้องถิ่นไทย ก็จะสามารถได้รับการปลดปล่อย เบ่งบาน และทวีคูณตัวเองขึ้นมาทำงานได้ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็เปิดโอกาสเช่นนี้ไว้แล้วในหลายๆ มาตรา ด้วยกัน
เริ่มที่ตัวเราก่อน
การเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงและกล่าวโทษโลกภายนอกของคนไทยเราเอง จะต้องลดน้อย
ลง ความเคลื่อนไหวเพื่อกอบบ้านกู้เมือง จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็ด้วยการเริ่มต้นที่การเรียกร้องและเปลี่ยนแปลงตนเองของพวกเราพลเมืองไทยทุกคน เป็นสำคัญ
"ประชาคม กอบบ้านกู้เมือง คือความมุ่งมั่น คือความเคลื่อนไหวทางสังคมของพลเมืองไทยในท้องถิ่นต่างๆ ที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม จึงเป็นความเคลื่อนไหวของอิสระชน ที่เปิดกว้างไม่จำกัดหมู่พวก รอการเข้าร่วมและริเริ่มสร้างสรรค์ ดังเจตนารมย์ที่ประกาศไว้ ณ ที่นี้ "
ลานเสาชิงช้า
24 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
