เส้นทางการใช้พลังความเป็นมนุษย์ของเราเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
บทสนทนาระหว่าง คุณสุภาพ สิริบรรสพ กับ อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์
เนื่องในวาระ 80 ปี ของอาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ สิ่งที่ลูกศิษย์อยากได้รับเป็นมรดกทางปัญญา การมีโอกาสได้เจอและสนทนากับอาจารย์ สิ่งที่อยากแลกเปลี่ยน ตั้งคำถามหรือการค้นหาคำตอบที่จะเป็นแนวทางหรือการสนับสนุนการใช้ชีวิตและการทำงาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

พี่หน่อง – สุภาพ สิริบรรสพ หนึ่งในลูกศิษย์ที่ขับเคลื่อนการทำงานภาคประชาสังคมในจังหวัดน่าน ได้ตั้งคำถามถึงแนวทางการทำงานเพื่อสังคมที่มีประสิทธิภาพท่ามกลางสถานการณ์ความปั่นป่วนของบ้านเมือง
อาจารย์ชัยวัฒน์ ได้ให้แนวทางให้กับมาใคร่ครวญทบทวน เริ่มต้นที่ “ตัวเอง” เชื่อมั่นในพลังของมนุษย์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ในพื้นที่เล็กๆ จากครอบครัว ชุมชน และการร่วมมือกันทำของกลุ่มคนเล็กๆ การเป็นผู้นำที่มีธรรมะและเป็นการนำร่วม ต้องเข้าใจและเรียนรู้จากระบบนิเวศน์ ระบบที่มีชีวิต เพราะการทำงานที่ใช้ระบบกลไก ระบบแบบราชการ ที่ทำไปตามตัวชี้วัด ไม่สามารถแก้ปัญหา หรือจัดการสังคมที่ซับซ้อนได้

การสนทนาระหว่าง อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ กับ พี่หน่อง-สุภาพ สิริบรรสพ เริ่มต้นจากการสะท้อนภาพของสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ทั้งที่เป็นภาพใหญ่ที่มีทั้งวิกฤติการเมือง วิกฤติทางสังคมและสุขภาพ และการบอกเล่าเรื่องราวในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมไปถึงการทำงานของภาคประชาสังคมในพื้นที่ ความเป็นห่วงหรือความกังวลของคนทำงานในพื้นที่ การทำงานหลายอย่างในพื้นที่แม้จะได้ผลแต่เมื่อเทียบกับสถาการณ์ปัญหาในหลายๆ ด้านที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว

ในโอกาสที่ได้สนทนากับอาจารย์ชัยวัฒน์ พี่หน่องจึงได้พูดคุยถึงกระบวนการทำงานที่จะเดินต่อไปขอคนทำงานทางสังคม ว่าจะมีแนวทางใดในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและได้ผลดีกว่าที่ผ่านมา แนวทางที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ได้ โดยอาศัยประสบการณ์ของอาจารย์ที่เป็นผู้นำทางความคิดและเคยทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมมาในหลายๆ เรื่อง อีกทั้งยังมีคนทำงานในหลายพื้นที่ทั่วประเทศที่ได้ทำงานสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยใช้แนวทางกระบวนการที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์ไปทำงานในพื้นที่
วิกฤตทางการเมืองและความไม่เชื่อมั่นในระบบ
อาจารย์ชัยวัฒน์ เริ่มจากการสะท้อนภาพทั้งการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในหลายห้วงเวลา จนเกิดการรัฐประหาร สลับกับการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ ทำให้เห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราที่เป็นอยู่ทั้งระบบประชาธิปไตยและเผด็จการต่างก็ล้มเหลว ไม่สามารถนำพาคนดีมีความสามารถขึ้นมาบริหารประเทศได้อย่างแท้จริง
นอกจากสถานการณ์ภายในประเทศแล้ว อาจารย์ยังห่วงว่าสถานการณ์ที่เป็นแรงบีบจากระบบโลกที่เห็นประเทศไทยเป็นสนามของการแย่งชิงกันระหว่างตะวันตก สหรัฐอเมริกา อียูกับจีน รัสเซีย จะทำให้ไทยอยู่อย่างสงบไม่ได้ ซึ่งได้แต่คาดหวังให้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่มารุมเร้าไทยมากนัก ขอเป็นประเทศที่อยู่ตรงชายขอบของปัญหาเหล่านั้น
สิ่งที่เราต้องนำมาคิดและใคร่ครวญท่ามกลางสถานการณ์ของไทยที่เป็นแบบนี้ ทั้งประชาธิปไตยและนักการเมืองที่เป็นแบบนี้ อีกทั้งการเมืองท้องถิ่นก็มีปัญหามากมาย และระบบการตรวจสอบที่อ่อนแอ ยังมีการรับสินบน การทุจริต เอาพรรคเอาพวก หลายอย่างมันพัวพันกันไปหมด จนทำให้เราจนปัญญาว่าจะสร้างระบบอะไรที่ทำให้คนดีได้เข้ามาปกครองบ้านเมือง ซึ่งมันยังไม่มี และเป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ ที่จะแก้ระบบนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในบ้านเรา แต่หลายประเทศทั่วโลกก็ประสบกับปัญหาของประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่ไม่สามารถทำให้คนดีเข้ามาทำงานได้

สิ่งสำคัญสำหรับโลกสมัยใหม่ ที่ต้องการคนที่มีธรรมะและไม่ใช่แค่ผู้นำคนเดียว อาจารย์ชัยวัฒน์ได้อ้างถึงคำกล่าวของหลวงพ่อพุทธทาสที่บอกว่า “ธรรมะไม่กลับมาโลกาจะวินาศ” ซึ่งในจุดนี้อาจารย์ขยายว่า วินาศที่ว่านี้เกิดได้กับทุกเรื่อง ทั้งสิ่งแวดล้อมที่ค่อยๆ พังลงในแบบต่างๆ ทะเล ภูเขา ดินเสื่อมลง มลพิษทางอากาศ อาหารการกิน สุขภาพ ความทุกข์ร้อนของผู้คนที่ค่อยๆ เสื่อมลง เหมือนคนที่ค่อยๆ หมดสภาพเหี่ยวเฉาจนกระทั่งนอนติดเตียง ขยับไปไหนไม่ได้
ความเสื่อมหรือสิ่งที่ค่อยๆ พังลงไปนั้น มีกรณีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อย่างในพื้นที่จันทบุรีก็มีการโค่นป่าเพื่อเอาพื้นที่ไปปลูกทุเรียนมากขึ้น พอทุเรียนขายดี มีการส่งออก ก็มีการเปลี่ยนพื้นที่จากพื้นที่ปลูกกกที่ใช้ในการทำเสื่อจันทบูรณ์ ก็เอาพื้นที่ไปปลูกทุเรียนหมด ระบบนิเวศก็ค่อยๆ เสื่อม ทั้งน้ำทั้งดิน จันทบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งทะเล ป่าเขา แหล่งน้ำ มีความหลากหลาย ก็ค่อยๆ เสื่อมลง และปัญหาเหล่านี้เราจะไปคาดหวังการแก้ปัญหาจากรัฐบาลนั้นเป็นไปไม่ได้เลย “ไม่มีทางจะไปคาดหวังจากรัฐบาล”

เมื่อแก้เองไม่ได้ก็อย่าไปมัดมือมัดตีนเขา
อาจารย์ชัยวัฒน์เล่าถึงสถานการณ์ปัญหามากมายเหล่านี้ที่ส่งผลทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่จะหาทางออกได้ยากขึ้นทุกที พร้อมทั้งพูดถึงความห่วงใยคนรุ่นหลังว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อม สังคม การเมืองแบบไหน แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง การเตรียมความพร้อมสำหรับลูกหลานก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการสร้างสภาวะภายในให้เข้มแข็ง สร้างกำลังใจ ให้เป็นเด็กที่มีความแข็งแกร่งในจิตใจ เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าของพวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

แต่การทำปัจจุบันให้ดีในรุ่นเราก็ไปคาดหวังจากรัฐบาลหรือนโยบายก็ไม่ได้ เพราะเรามีบทเรียนมาแล้วว่ารัฐบาลและนโยบายหลายอย่างนั่นแหละที่เป็นตัวสร้างปัญหา ที่ทำให้ส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสื่อมทั้งหลาย จนทำให้คนต้องมาต่อสู้กับนโยบายที่สร้างปัญหาให้กับประชาชน สิ่งที่เราคาดหวังอาจจะเป็นเรื่องของการที่รัฐบาลหรือนโยบายทั้งหลายอย่ามาชี้นิ้วกำหนดสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ประชาชนมากนัก แต่ควรให้โอกาสประชาชนได้ลุกขึ้นมาทำ มาจัดการตัวเอง มากำหนดอนาคตของตนเองได้ เพราะคนที่เขาอยู่ในพื้นที่ในชุมชน เขามีความฉลาด มีความรู้ เขาทำอะไรหลายอย่างเป็น อาจารย์เรียกว่า “อย่าไปมัดมือมัดตีนเขา” แม้จะมีบางพวกบางกลุ่มที่คิดว่าการได้ทำโครงการที่รัฐบาลให้ทำจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ทั้งๆ ที่การแก้ปัญหาโดยวิธีการเดียวกันไม่สามารถใช้ได้กับทุกพื้นที่ที่มีปัญหาแตกต่างกัน บริบทแตกต่างกัน การที่ไม่คิดใคร่ครวญให้ดี ไม่เอาสิ่งที่ตนเองมีอยู่มาแก้ปัญหาของพื้นที่ตนเองทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาได้
เริ่มที่ตัวเอง ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเป็นสุข ทำให้คนดีได้มีโอกาส
เมื่อระบบของรัฐ ระบบราชการ และนโยบายที่หว่านแหแก้ปัญหาไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของคนเล็กๆ ที่ต้องตื่น ดูแลกัน ช่วยเหลือกัน แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง จะแก้ปัญหาจากตรงไหน อาจารย์แนะนำว่า “ให้เริ่มที่ตัวเองก่อน” สิ่งที่เราทำได้ดี และการเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ จะเกิดความทุกข์หรือความสุข หรือเกิดกำลังใจได้ จากตัวเองแล้วกลับไปดูครอบครัวตัวเองก็ได้
อาจารย์พูดถึงการมองเห็นตัวเองใช้ชีวิตในสี่มิติสี่ระดับ คือ การเริ่มต้นจากตัวเอง ที่เรียกว่า Personal life

“ชีวิตส่วนตัว ฉันเกิดมาทำไม ฉันอยู่ไปเพื่ออะไร และฉันจะใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุข ถ้าให้ดีก็ต้องเชื่อมกับ ชีวิตที่มีค่าและมีความหมายคือ spiritual life ฉันเกิดมาทำไม อยู่ไปเพื่ออะไร แล้วฉันจะใช้ชีวิตยังไงที่ “ฉันก็เป็นสุขและผู้อื่นก็เป็นสุข” ถึงแม้โลกมันไม่สมบูรณ์ โลกมันยังเป็นทุกข์ มันมีปัญหามากมายแต่ฉันก็จะทำให้ดีที่สุด”
“หลวงปู่ชาเคยพูดว่า ในห้วงแห่งทะเลทุกข์ ถ้าเราตักน้ำออกมาได้สักหนึ่งกระบวยก็บุญนักหนาแล้ว นี่แหละคือบุญ”
“การใช้ชีวิตที่มี spiritual life คือชีวิตของการทำบุญ การทำบุญคือใจดี ใจงาม แล้วก็ใช้ชีวิตให้เป็นมงคลกับตัวเอง กับครอบครัว แล้วก็กับผู้อื่นที่เราไปสัมพันธ์ได้ อันนี้คือ personal life กับ spiritual life มันจะพันกันเป็นชีวิตที่เป็นมงคล”
“ต่อไปคือชีวิตชุมชนเป็น public life หรือชีวิตหน้าที่การงาน”

อาจารย์พูดถึงพี่หน่องที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล ทำงานในระบบสุขภาพ ที่ช่วยเหลือคน ช่วยเหลือสังคม บางคนทำงานสาธารณะในเรื่องต่างๆ ยกตัวอย่างโครงการที่เคยทำ เช่น โครงการ healthy public life ที่ทำให้เกิดกาดกองต้า ที่ลำปาง การอนุรักษ์เมืองเก่า การทำกิจกรรมสาธารณะของหลายคนในหลายพื้นที่ และมีการทำงานกันต่อเนื่อง มีคนที่ดีที่ตั้งใจเข้ามาสืบทอดทำงานต่อ สิ่งสำคัญที่อาจารย์ย้ำคือ “ทำยังไงให้คนดีๆ ได้มีโอกาสได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ที่สุด” เพราะเรื่องนี้เราไม่ค่อยเห็นในระดับของคนทำงานข้างบน ระดับใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือระบบราชการ ก็มักจะไปติดอำนาจ ติดหัวโขน ติดทฤษฎี ติดกับอะไรหลายๆ อย่าง จนมองไม่เห็นคนเล็กๆ ที่ตั้งใจทำงาน

ดังนั้นเราจึงควรจะมองเห็นว่า คนเล็กๆ ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่นี่แหละ คือคนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เชื่อมั่น และคิดว่าหากสามารถเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ระหว่างคนเล็กๆ นี่แหละ ก็จะทำให้มันเติบโตขึ้นมาได้
ชีวิตที่ควรจะเป็น public life หรือว่าชีวิตสังคม เป็นการเชื่อมโยงกับพลังทางสังคม และเอาพลังทางสังคม ชุมชน ไปดูแลจัดการธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่องน้ำ เรื่องป่า เรื่องสุขภาพ เรื่องจิตใจ เรื่องการศึกษาของเด็ก ดูแลเด็กให้เติบโตงดงามมาเป็นอย่างดี เป็นการรับมรดกที่ส่งต่อมาในการดูแลปกป้องแผ่นดินและส่งต่อให้ลูกหลานต่อไป
เอาตัวเองเข้าไปหา จัดวงสนทนาของกัลยาณมิตรให้เกิด ไม่มีการเสียใจที่ไม่ได้ทำ
อาจารย์ชัยวัฒน์ เล่าถึงความตั้งใจของอาจารย์ที่จะเดินไปหาคนเล็กๆ ที่ทำงานในพื้นที่ ด้วยการ “เอาตัวของตัวเองเข้าไป” ที่ไหนหรือว่าใครที่เป็นคนดี ตั้งใจดี ตั้งใจทำงานเพื่อชุมชน สังคม ต้องการความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการแนวทาง หรือต้องการกำลังใจ ถ้ายังไม่เก่ง ไม่มั่นใจ ก็มีกระบวนการที่จะดูแล มีวงของกัลยาณมิตรที่ไปสนับสนุนช่วยเหลือกัน เพราะอาจารย์สังเกตเห็นว่าที่ใดที่มีการทำงานกันเป็นกลุ่ม เป็นทีม มีวงกัลยาณมิตรหรือ วง mentoring community ที่นั่นจะทำงานออกมาได้ผลดี อาจารย์จึงคิดว่าที่ไหนที่จะเข้าไปช่วยได้ก็จะเข้าไป เอาตัวเองเข้าไปโดยไม่ต้องมีนโยบายใดๆ เข้าไปหาเขาเพราะมั่นใจในความรักต่อประเทศชาติ ต่อพี่น้อง และกตัญญูต่อบรรพชน อาจารย์เรียกสิ่งนี้ว่า เป็นการเดินตามวิถีของ “ชัมบาลา เส้นทางของนักรบอันศักดิ์สิทธิ์” เมื่อจิตของเราชัดเจนว่า จะทำอะไร ทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร ก็เอาชีวิตของตัวเองเป็นการทดลอง ลงมือทำจริง ปฏิบัติจริง

เรียบเรียง /ถ่ายภาพ : Piyanart Prayoon
IG : natarach